“ชนินทร์” จี้ใจดำ “เศรษฐา” บริหารทำงบฯรายจ่าย 2 ปี ดีแต่กู้มาใช้ ใกล้ชนเพดานหนี้ เปรียบ เทน้ำลงทราย แนะ เร่งทำ3 ข้อ แก้ปมเศรษฐกิจแบบ“รดน้ำพรวนดิน“ ฟังผู้รู้รอบด้าน เตือน ”ดิจิทัลฯ กู้มาแจก“ ไม่คุ้มเสี่ยงวิกฤตหนี้สาธารณะ-สร้างปัญหาการคลัง
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 22 มิ.ย. 2567 นายชนินทร์ รุ่งแสง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และอดีตประธานกรรมาธิการ(กมธ.)การพัฒนาเศรษฐกิจสภาผู้แทนฯ กล่าวถึงการอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำ ปี 2568 ที่ผ่านวาระที่หนึ่ง ว่าพรรคปชป.และหลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงถึงการกู้เงินจนเกินตัวของรัฐบาลเศรษฐาจะก่อให้เกิดปัญหาฐานะการคลังและหนี้สาธารณสะสมชนเพดานส่อหายนะของประเทศได้ ตนอยากเน้นย้ำขีดเส้นใต้ 10 เส้นว่า ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขการกู้ แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่กู้มาแล้ว จะใช้อย่างไรและจะมีหนทางหารายได้กลับมาชดเชยเงินกู้ได้อย่างไร ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ ไม่รู้จักคำว่า รดน้ำพรวนดินเศรษฐกิจ แต่กลับเน้นใช้เงินตอบสนองทางด้านการเมือง เศรษฐกิจไทยมีปัญหาชะลอตัว ค่าครองชีพสูง ข้าวของแพง รายได้ประชาชนลด หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูง สำคัญสุดคือ หายนะกำลังเกิดจากหนี้สาธารณะที่กู้เพิ่มสูงขึ้น จากการจัดทำงบประมาณกลางปี 67เพิ่มเติม และงบฯปี 68 โดยเฉพาะงบกลางปี 67 รัฐบาลนี้ได้กู้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 1.12 แสนล้านบาท เพราะตั้งเป้าจัดเก็บรายได้จากงบฯนี้ไว้เพียง 1 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นการกู้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม ทำให้การขาดดุลงบประมาณในปี67 เพิ่มขึ้นเป็น 815,056 ล้านบาท น่าเป็นห่วงคือ กู้เพิ่มแต่รัฐบาลไม่มีรายได้เพิ่มที่แน่นอน ซึ่งเป็นการกู้มาใช้ในลักษณะเทน้ำลงทราย
“ผมถามถึงรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯเศรษฐาว่า รู้จักนโยบายแก้ไขเศรษฐกิจแบบรดน้ำพรวนดิน ไม่ใช่เทน้ำลงทรายที่ไม่เกิดดอกผลหรือไม่ อาทิ การกู้มาเพื่อแจกดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท มาแจก แต่ไม่ทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้จริง ตามที่นายกฯเศรษฐาพูด จึงขออยากการบ้านให้รัฐบาลนี้ว่า ถ้าจะแก้เศรษฐกิจแบบรดน้ำพรวนดิน ต้องคิดถึงการใช้เงินกู้ที่ได้มา 3 ข้อคือ 1.ต้องมีการเยียวยากลุ่มเปราะบาง 2.ต้องส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน ที่จำเป็น ทั้งเล็ก ใหญ่เพื่ออนาคต เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำ 3. สำคัญสุดคือ การใช้งบฯเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจรองรับการสร้างงาน อาชีพให้ประชาชนในอนาคตเพื่อสร้างรายได้ กลับคืนสู่ประเทศ เพราะหนี้สาธารณที่รัฐกู้ใกล้ชนเพดานแล้ว หากเกิดวิกฤตโรคอุบัติใหม่ หรือภัยธรรมชาติร้ายแรงซ้ำ ในขณะที่สถานะการคลังมีปัญหา จะกระทบต่อประชาชนกลุ่มลูกหนี้รายย่อย ขอให้รัฐบาลฟังเสียงเตือนรอบด้าน ทั้งสภาพัฒน์ฯ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่รู้จริง และไม่หาเสียงหลอกประชาชนเพื่อเข้าสู่อำนาจบริหารเหมือนรัฐบาล” นายชนินทร์ กล่าว