"เศรษฐา" มุ่งดันหนองคาย เชื่อมสินค้าไปจีน มอบ “สุริยะ” ลุยพัฒนารถไฟ วอน อบจ.อุดรฯเข้าใจลดงบให้เหมาะสม เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัยขอให้บริหารประเทศให้ดี ใจดี ซื้อผ้าฝาก "อุ๊งอิ๊ง"
นายเศรษฐา และคณะเดินทางมาถึงด่านพรมแดนหนองคาย มีนายเอกธนัช อินทร์รอดน.ส.ชนก จันทาทอง สส.หนองคาย และนายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ อดีตสส.หนองคาย มารอให้การต้อนรับ โดยนายกฯได้ พูดคุยกับหน่อยงานที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า เกี่ยวกับขั้นตอนพิธีการศุลกากร การค้าชายแดน และการพัฒนา One Stop Service ระหว่างไทย ลาว และจีน โดยนายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้รู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้มาจ.หนองคาย ซึ่งเป็นจังหวัดแรกๆ ที่มาหลังจากได้รับโปรดเกล้าฯ โดยจะเป็นการมารับฟังปัญหาเพื่อประกอบการทำงาน หากมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเรียบร้อย แล้วตนจะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งจ.หนองคายเป็นจังหวัดเล็ก แต่สร้างรายได้สูง เป็นอันดับที่ 4 ของภาคอีสาน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญมาก ตนได้มีการพูดคุยกับปลัดกระทรวงคมนาคม เรื่องการเชื่อมต่อเส้นทางไปถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเรามีสินค้าที่มาจากหลายจังหวัด รวมถึงท่าเรือแหลมฉบังด้วย ต้องการให้จ.หนองคายเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้า และต้องแก้ไขเรื่องสะพานที่จะรับน้ำหนักสินค้า ส่วนเรื่องวันสต็อปเซอร์วิช เป็นเรื่องที่เราต้องการให้มีความง่ายในการส่งสินค้าไปยังประเทศจีน
จากนั้นนายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า นั่งรถไฟมาจ.หนองคายเพื่อดูเรื่องจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้า เนื่องจากจ.หนองคายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด มีการส่งสินค้าจากไทยไปยังลาวและจีน เรื่องรถไฟรางคู่ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้านั้นต้องมีการยกระดับสะพานที่จะรองรับน้ำหนักสินค้าให้มากขึ้น เมื่อถามถึง การพัฒนาสถานีรถไฟนาทาจะแล้วเสร็จในกี่ปี นายเศรษฐา กล่าวว่า คงต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ตอนนี้ต้องมีการนับหนึ่งก่อน เมื่อกลับไปกรุงเทพฯ จะมีการประชุมกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ซึ่งจะประสานงานการตั้งคณะทำงานขึ้นมา ต้องมีคณะกรรมการการเจรจาการค้าระหว่างประเทศด้วย เพื่อไม่ให้มีอุปสรรคในการทำงาน และอาจจะต้องเชิญ รมว.การต่างประเทศร่วมด้วย และในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ทั้งขอนแก่น และอุดรธานี เป็นจังหวัดใหญ่ที่มีศักยภาพสูงในการที่จะพัฒนาต่อไปได้ จ.อุดรธานี มีแนวคิดที่จะมีการสร้างนิคมอุตสาหกรรมขึ้นมา เมื่อถามถึงรถไฟรางคู่เฟส 2 จากจ. ขอนแก่นมาจ.หนองคาย ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือสามารถเดินหน้าระยะที่ 1 ต่อได้เลย นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าเข้าครม. ครั้งเดียวก็จบแล้ว มีเรื่องและงบประมาณที่กันไว้เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะได้กลับมาจ.หนองคายอีกครั้ง ในช่วงปลายเดือนหน้าเข้ามารับฟังความคืบหน้าเรื่องนี้
เมื่อถามว่า มองว่าการบริหารงบประมาณของรัฐบาลยุ่งยากหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องงบประมาณไม่อยากใช้คำว่ายุ่งยาก ต้องบริหารจัดการกัน เป็นหน้าที่ของรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม ต้องจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม ต้องช่วยกันบริหารจัดการให้งบประมาณอยู่ในกรอบ ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาทางด้านการเงินและการคลังอีกเมื่อถามถึงการจัดงานมหกรรมพืชผลโลกที่มีการของบประมาณเพิ่มเป็นเท่าตัว และระยะเวลาก่อนเริ่มงานเหลืออีก 3 ปี จะเพิ่มงบให้หรือไม่และจะบริหารจัดการอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่าเป็นเรื่องที่แปลกใจ เมื่อวานนี้ (8 ก.ย.) เป็นการมารับฟังความคืบหน้า เหลือเวลาอีก 3 ปีก็ต้องดูให้ดี หากสร้างไม่ทันก็จะเป็นปัญหา ต้องกลับไปช่วยกันดูให้เหมาะสม ลดค่าใช้จ่ายทำให้อยู่ในกรอบงบประมาณที่สามารถทำได้ หากเพิ่มมานิดหน่อยก็น่าจะสามารถพิจารณาได้แต่สำคัญที่สุดคือจุดเริ่มต้น ที่ต้องเริ่มแล้วไม่เช่นนั้นไม่ทันจะเสียหน้า หวังว่าอบจ.จะเข้าใจ และบางนโยบายเป็นเรื่องยาก ตนจึงอยากลงพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเพื่อมารับฟังปัญหา ซึ่งหลายเรื่องยังไม่ได้ถูกหยิบยกมาพูด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหายาเสพติด ซึ่งกลับไปกรุงเทพฯ วันพรุ่งนี้ (10 ก.ย.) จะประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วจะเร่งบริหารจัดการต่อไป นอกจากเรื่องปากท้องแล้ว ปัญหายาเสพติดก็เป็นปัญหาสำคัญของภาคอีสานเช่นกันที่ไม่อยากให้ รัฐบาลเราต้องดูทุกเรื่อง
จากนั้นเวลา 13.30น. นายเศรษฐาและคณะเดินทางต่อมายัง วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคายเพื่อเข้าสักการหลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อบ้านหลวงพ่อพระใส ซึ่งเป็นอารามหลวง ทันทีที่นายเศรษฐา ได้เดินมาถึงอุโบสถได้มีชาวบ้านเข้ามาขอถ่ายรูป พร้อมนำผ้าขาวม้ามาผูกที่เอว และกล่าวว่า ต้องผูกแน่นๆ จะได้อยู่นานๆ พวกเรารอมานานแล้ว นายกฯ ต้องอยู่นานๆ จากนั้นนายเศรษฐา ได้เข้ากราบสักการะพระพุทธรูปหลวงพ่อพระใสพระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองหนองคาย และนมัสการ พระเทพวชิรคุณ (รศ.ดร.พิศิษฐ์ สุวีโร) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย พร้อมทั้งรับพรจากเจ้าอาวาสที่ระบุว่า “ได้ติดตามพวกท่านทั้งหมด รู้จักชื่อรัฐมนตรีทุกคน ขอให้ช่วยกันบริหารประเทศให้ดี” จากนั้นนายเศรษฐา ได้ก้มกราบรับน้ำมนต์จากเจ้าอาวาส โดยเจ้าอาวาสได้ใช้ตอกพรมน้ำมนต์แตะไปที่ศีรษะของนายกรัฐมนตรี
ก่อนที่เวลา 15.00น. นายเศรษฐา และคณะได้เดินทางมาที่ตลาดผ้าบ้านนาข่า อ.เมืองอุดรธานี ซึ่งเป็นการร่วมกลุ่มทอผ้าของชาวบ้าน จนมีการบริหารกันในรูปแบบธุรกิจ โดยเฉพาะการขายผ้าไหมลายขิด และผ้าฝ้ายย้อมคราม รวมถึงการประยุคตัดเย็บตามเอกลักษณ์ของผ้าชาวอีสานด้วยงานแฮนด์เมดทั้งสิ้น ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากพ่อค่าแม่ขายในพื้นที่เข้ามาขอถ่ายรูปกันอย่างคึกคัก ทั้งนี้นายเศรษฐา กล่าวว่า อยากได้ผ้าไทยไปชุด สำหรับใส่ไปประชุมคณะรัฐมนตรี แต่เดินจนสุดซอยแล้วยังไม่ได้สิ่งที่ถูกใจ แต่เห็นผ้าสีเหลือง ซึ่งเป็นท่ายกดอกสุรินทร์ จึงได้อุดหนุนแม่ค้า 1 ผืนในราคา8,500 บาท เพื่อเอาไปฝากน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย อย่างไรก็ตามในช่วงก่อนเดินทางกลับนายเศรษฐาได้ถ่ายรูปที่จุดถ่ายรูปที่ระลึกของตลาดผ้านาข่า พร้อมกับ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับสินค้าOTOP แต่เข้าใจว่าตอนนี้มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูง จะขอยืนยันว่าในการประชุมครม. นัดแรกจะลดค่าไฟฟ้า และค่าน้ำมัน เพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์เบื้องต้นส่วนปัญหาหนี้สินก็จะดูแลด้วย
จากนั้นนายกฯและคณะได้เดินทางต่อไปยังสนามบินนานาชาติจังหวัดอุดรธานีเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร