“โรม” มองนายกฯ แฉตัวเอง หลังหลุดพูดปมแต่งตั้ง ผกก. ส่อผิดกฎหมาย 3 ฉบับ ชี้ระบบอุปถัมภ์ยังไม่หมด
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2566 เวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคก้าวไกล เปิดเผยถึงกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ กล่าวในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยบางช่วงบางตอนว่า “ผู้กำกับใหม่ ซึ่งผมมั่นใจว่าคงจะมีผู้ผิดหวังมากกว่าสมหวังในห้องนี้ ที่ขอตำแหน่งไป เพราะมีเยอะเหลือเกิน แต่ก็มีไม่น้อยที่สมหวัง...” ว่า ชัดเจนในเรื่องตั๋วว่ายังมีอยู่ ต้องยอมรับว่ามีปัญหาจริงๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปกติตั๋วต่างๆ ไม่ค่อยมีเป็นลายลักษณ์อักษร ใบเสร็จหรือเอกสารทางราชการที่เป็นหลักฐาน เต็มที่คงมีแค่อัดเสียงจากการโทรฝากกัน แต่คนระดับนายกรัฐมนตรีพูดประโยคแบบนี้ในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากการที่ สส.พรรคเพื่อไทย มาขอฝากกับนายกฯ ซึ่งไม่ได้ผิดกฎหมายอย่างเดียว แต่สะท้อนถึงระบบอุปถัมภ์ ระบบเส้นสาย หรือระบบตั๋ว ที่ไม่เคยหมดไปภายใต้รัฐบาลชุดนี้ ทั้งที่ตอนหาเสียงบอกว่าจะไม่ยอมรับระบบเส้นสาย จะจัดการ พอมาวันนี้กลับพูดอย่างหน้าชื่นตาบานว่ามี ผกก.บางคนอาจจะผิดหวัง หรือบางคนอาจจะสมหวัง สิ่งเหล่านี้เลวร้ายและทำลายน้ำใจของตำรวจชั้นผู้น้อย นั่นหมายความว่าต่อไปนี้ไม่ว่าจะทำผลงานดีแค่ไหนแต่ไม่มีเส้นสายหรือเส้นสายน้อยกว่าคนอื่นก็ไม่เติบโตได้อยู่ดี
ทั้งนี้ ตนคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 3 ฉบับ คือ รัฐธรรมนูญ ม.185 และ พ.ร.บ.ตำรวจ การแต่งตั้งโยกย้ายที่นายกฯ จะเข้าไปมีส่วนร่วม มีแค่การแต่ตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แต่ในส่วนของผู้กำกับ จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องในการแต่งตั้งโยกย้าย 2 ส่วน คือ ผู้บัญชาการ มีอำนาจแต่งตั้ง และผู้การ มีอำนาจเสนอแนะในเขตอำนาจที่ตัวเองมี เท่ากับว่าปัญหาของความร้ายแรงนี้ไม่ใช่แค่ส่งสัญญาณการแต่งตั้งโยกย้ายของตำรวจเท่านั้น แต่ในอนาคตการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชพลเรือนอื่นๆ ต้องมีตั๋วด้วยหรือไม่ “ผมเองกังวลมากว่าจะไปไกลถึงขนาดซื้อขายตำแหน่ง แต่ก็หวังว่าจะไม่ไปไกลถึงขนาดนั้น แต่ไม่ว่าจะไกลหรือไม่ไกลวันนี้มันผิดกฎหมาย”
ส่วนกฎหมายตัวที่ 3 ที่ผิดคือ จริยธรรมนักการเมือง ทั้งหมดนี้ตนคิดว่าคำพูดของคนที่เป็นนายกฯ ค่อนข้างฟังได้ชัดเจนว่าท่านอาจเข้าไปเกี่ยวข้องของการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ หมายความว่านั่นไม่ใช่แค่แทรกแซง แต่หมายถึงข้าราชการตำรวจบางคนที่สมหวัง คือคนที่มีตั๋วใช่หรือไม่ และคนที่ไม่สมหวัง คือคนที่มีตั๋วไม่เท่าคนอื่นหรือไม่มีตั๋วใช่หรือไม่
“ผมฟังคำพูดนายกฯ แบบนี้ฟังเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คำสัญญาต่างๆ ว่าจะไม่มีตั๋ว แล้วการพูดมาชัดเจนขนาดนี้จะให้สังคมเข้าใจอย่างไร และไม่ต้องบิดเป็นคำพูดอื่น มันชัดเจนว่าวันนี้นายเศรษฐา เข้าไปเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายจริงๆ อาจมีคนถามว่าต้องหาหลักฐานหรือไม่เพื่อจะเอาผิดนายกฯ อย่างที่ตนบอกการแต่งตั้งหากตนจะขอตั๋วจากใครแค่ยกหูโทรหาว่าฝากตำรวจคนนี้หน่อยได้ไหม แล้วจะเอาหลักฐานหนังสือคงเป็นไปไม่ได้ แต่คำพูดของนายกฯ ที่เหมือนเป็นการแฉตัวเอง หรือหลุดพูดมาชัดเจนอยู่แล้ว” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนจะนำไปสู่การฟ้องร้องในภายหลังหรือไม่นั้น เบื้องต้นพยายามรวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมดให้ผู้เชี่ยวชาญในทุกส่วนได้ตรวจสอบ และพยายามให้นาตาชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือหน่วยงานต่างๆ ได้นำข้อมูลออกมาเพื่อนำไปสู่การตรวจสอบ ตนเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวแค่นายกฯ เท่านั้น เพราะท่านพูดเองว่ามีการขอมาเยอะ กระบวนการที่นำไปสู่การผิดกฏหมายไม่ได้มีแค่นายกฯ แต่อาจจะมีนักการเมือง สส.คนอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบว่าผู้กำกับในแต่ละพื้นที่มีที่มาที่ไปอย่างไร และหากได้ข้อมูลจากนาตาชา จะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจของหรือไม่นั้น ตนคิดว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ตำรวจจำนวนมากที่รอคอยให้มีการแข่งขันในเรื่องตำแหน่งหน้าที่อย่างยุติธรรม ไม่มีใครอยากไม่อยากโต อยากมีตำแหน่งหน้าที่ที่ดีขึ้น ข้าราชการวิ่งไปหานักการเมืองทำให้เกิดระบบฝาก สิ่งที่นายกฯ ทำคือการทำลายศรัทธาต่อระบบข้าราชการที่มีน้อยอยู่แล้วไม่เหลือชิ้นดี นายกฯ พูดเรื่องนี้แบบปกติ ธรรมชาติได้ขนาดนี้
เมื่อถามว่า จะเป็นการนำไม้ซี่มางัดไม้ซุงหรือไม่ นายรังสิมันต์ เผยว่า เมื่อนายกฯ พูดแบบนี้ ตำรวจจำนวนมากน่าจะมีความรู้สึกพูด ไม่มีใครรับผิด คลิปเสียงในการคุยระดับผู้บัญชาการและหนังสือ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะแตกต่างกับสมัยตั๋วช้างที่ตนเคยนำมาเปิดโปง ซึ่งการทำงานตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วจนถึงรัฐบาลนี้ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยน และองค์กรตำรวจยังเละเทะ ตนเข้าใจได้ว่าทำไมหัวหน้าพรรคก้าวไกลถึงต้องการตั้งกระทู้ถาม นายกฯ ไม่มาตอบเพราะรู้ว่าไม่สามารถมาประเชิญหน้ากับความจริงได้ และคำพูดของ นายเศรษฐา เข้าข่ายทุจริตคอรัปชั่น