โผล่ออกมาแต่ละที สร้างแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น..
กับเอกสาร (ปล่อย)หลุด ของ “ซือแป๋” มีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่ว่ากันว่าเป็นการทำคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ประเด็น“ความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญมาตรา 264 ประเด็นผู้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับ ตามบทเฉพาะกาลมาตรา 264 สามารถนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯดังกล่าว เข้ากับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ หรือไม่ และนับแต่เมื่อใด”
พอสรุปใจความสำคัญๆ ได้ว่า
1. รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.2560 ไม่อาจมีผลย้อนหลังไปถึงการใดๆ ที่ได้ดำเนินการมาแล้วโดยชอบก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ
2. ส่วนที่เกี่ยวกับ ครม. รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติเรื่องคุณสมบัติ (มาตรา 160) ที่มา (มาตรา 88) วิธีการได้มา (มาตรา 159) และมาตรา (272) กรอบในการปฏิบัติหน้าที่ (มาตรา 164) ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง (มาตรา 158 วรรคสี่) และผลจากการพันจากตำแหน่ง (มาตรา 168) แตกต่างจากรัฐธรรมนูญที่เคยมีมา ไม่อาจนำไปใช้กับบุคคลหรือการดำเนินการใดๆ ที่ได้กระทำไปโดยชอบแล้วก่อนที่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลใช้บังคับ เว้นแต่จะมีบทบัญญัติกำหนดไว้เป็นประการอื่นโดยเฉพาะ กฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นย่อมต้องมุ่งหมายที่จะใช้กับ ครม.ที่ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ 2560
3. ความจำเป็นที่ต้องมีบทเฉพาะกาล เพื่อกำหนดให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินต่อไปได้โดยไม่ติดขัด จึงได้มีบทบัญญัติมาตรา 264 เป็นการเฉพาะว่า “ให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ จะเข้ารับหน้าที่” โดยมีบทบัญญัติผ่อนปรนเกี่ยวกับคุณสมบัติ และการปฏิบัติหน้าที่บางประการไว้ให้เป็นการเฉพาะ
4. ผลของมาตรา 264 ครม.รวมทั้งนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่เฉพาะ ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 จึงเป็น ครม. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับ คือ 6 เม.ย.2560 ระยะเวลาตาม มาตรา 158 วรรคสี่ จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2560 เป็นต้นไป
ในช่วงท้ายของเอกสาร “ซือแป๋”มีชัย ยังออกตัวเชิงตำหนิเจ้าหน้าที่ผู้จดบันทึกการประชุม ว่าจดรายงานการประชุมกรธ.ที่ไม่ครบถ้วน มีข้อผิดพลาดอยู่หลายประการ รายงานการประชุมดังกล่าวจึงยังไม่อาจใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานเป็นข้อยุติได้
สรุปของสรุปก็คือ วาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปีของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ ตามรัฐธรรมนูญ 60 ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.60 ส่วนการดำรงตำแหน่งนายกฯก่อนหน้านั้นของ “บิ๊กตู่” ใครจะเรียกว่านายกฯ, หัวหน้าคณะรัฐประหาร, นายกฯเถื่อน, หรือผู้นำโจร ก็เอาตามที่สบายใจของแต่ละคน
แม้จะมีการออกตัวกันว่าเอกสารดังกล่าวยังไม่ชัวร์ 100 % ว่าเป็นของ “ซือแป๋” จริงหรือไม่ แต่ถ้าออกรูปนี้ก็เข้าทาง “บิ๊กตู่” มีหวังได้อยู่นั่งแป้นแล้น..เป็นองค์ประธานเจ้าภาพจัดเอเปก ที่กำลังจะมาถึงได้ เพราะ “ซือแป๋”เองก็ไม่สนแล้วว่า จะเลียน้ำลายที่ถ่มลงพื้นกระเดือกลงคอไปอีก
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูการประชุมศาลรัฐธรรมนูญนัดพิเศษ วันที่ 8 ก.ย.นี้ ตามที่ “วรวิทย์ กังศศิเทียม” ประธานศาลรธน. แจ้งต่อตุลาการฯว่าจะนัดลงมติวินิจฉัยได้เลยหรือไม่ ไล่ๆกับกระแสออกเลขเด็ดไบ้หวยว่า ตัวเลขจะออกมาที่ 6 : 3 ในทางไม่เป็นคุณต่อ “ลุงตู่”
แต่ที่มันน่าสงสัยคือ เอกสารความเห็นที่เรียกได้ว่าสามารถชี้นำกระบวนการพิจารณาได้ระดับหนึ่ง มันดันมาหลุดเอาช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มนี้พอดี
และปกติคำชี้แจงหรือความเห็นของพยาน ผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง ส่วนใหญ่ที่เข้าระบบของสำนักงานฯ จะไม่เคยหลุดออกมาเช่นนี้ งานนี้ถ้าสำนักงานศาล รธน.ไม่เคลียร์ต่อสังคมให้ชัดเจน ว่าเอกสารที่หลุดมาเป็นความเห็นของ “ซือแป๋”จริงหรือไม่
ศรัทธาที่มันเสื่อมอยู่แล้ว จะยิ่งเสื่อมหนักขึ้นไปอีก คงมีคำถามผุดขึ้นในใจของใครหลายคนว่า “เราจะมีศาลรธน. ไว้ทำไม”
ไม่ว่าอย่างไร “บิ๊กตู่”จะรอดหรือไม่ จะอยู่ต่อไปได้อีกกี่ปี แต่วันนี้สถานการณ์ของประเทศ ประกอบกับแรงกดดันจากสถานการณ์โลก ผู้นำจะไม่ใช่ชื่อ “ประยุทธ์-ประวิตร” หรือคนในระบอบประยุทธ์ ขุมข่ายอำนาจ 3 ป. นี้อีกต่อไป
แม้ทั้ง “พี่ใหญ่-พี่รอง-น้องเล็ก” จะยังติดใจกับการเถลิงอำนาจ อยากไปต่อใจจะขาด แต่ “กลุ่มแบ็กอัพ” เริ่มมองเห็นแล้วว่า ขืนดันทุลังกันต่อไป จะพากันเจ๊งทั้งขบวน งานนี้ฟันธงได้ว่า ถึง “บิ๊กตู่”จะได้ไปต่อ แต่ก็ไม่เกินต้นปี 2566 ตามวาระของรัฐบาลชุดนี้ หากหลังเลือกตั้งใหญ่ ที่พลังประชารัฐไม่มีทางได้เสียงข้างมากล้านเปอร์เซ็นต์ ขืนใช้สิทธิพิเศษเสียงส.ว.แก๊งลากตั้งบมาเป็นตัวช่วย
เชื่อเหอะถึงวันนั้น “บ้านเมืองร้อนเป็นไฟแน่นอน..”
ปิ๊กกะจู้