เรื่องของคนคนเดียว ทำชาวบ้านชาวช่องเขาเดือดร้อนไปทั่ว
ถกเถียงกันมานาน ว่าวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ “บิ๊กตู่”ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ควรสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ มีหลายออปชั่นให้เลือก ได้แก่
ชอยซส์แรก สิ้นสุดลงวันที่ 23 ส.ค.นี้ เพราะต้องนับระยะเวลาตั้งแต่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯหลังการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2557
2. สิ้นสุดลงนับตั้งแต่วันที่ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มีผลบังคับใช้และ 3. สิ้นสุดลง ณ วันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เมื่อปี 2562
เรื่องของเรื่องปัญหามันจะไม่เกิด ถ้าไม่คิดจะสืบทอดอำนาจลากยาวกันต่อ แต่ที่ปัญหามันพันตูกันอีนุงตุงนัง ก็เพราะความอยาก..ของคนไม่กี่คน
ความจริงเรื่องนี้ก็ฟันธงได้ไม่ยาก เมื่อมีข้อถกเถียงกันเรื่องข้อกฎหมาย ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด แต่ก็เพราะความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในตัวกรรมการนี่แหละ คือตัวปัญหาใหญ่ เพราะแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ทางกฎหมายมาหลายเรื่องหลายราว จนเสื่อมความขลังไปหมดแล้ว ผู้คนไม่เชื่อถือการใช้ดุลยพินิจวินิจฉัย ที่มีธงชัยเป็นหลัก
เรื่องนี้ก็เช่นกัน ถ้าส่งไปถึงมือองค์กรที่ทำหน้าที่ชี้ขาด ขอท้า 100 เอาขี้หมากองเดียว “บิ๊กตู่”ได้ลากยาวอำนาจไปจนถึงปี 2570 แน่
เรื่องนี้ต้องดูที่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ของผู้ร่างในนามคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่มี“ซือแป๋”มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นโต้โผใหญ่
จัดทำเป็นรายงานของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ของ กรธ. ที่นอกจากจะบอกเล่าความมุ่งหมายและความหมายแล้ว ยังบอกเล่าถึงเหตุผล ความเป็นมาของแนวคิดที่นำมาบัญญัติ พัฒนาการของในแต่ละมาตรา เพื่อความเข้าใจในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้ เพื่อใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาหากมีเหตุให้ต้องตีความ
ประเด็นวาระ 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในมาตรา 158 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง
มีคำอธิบายประกอบท้ายร่างรัฐธรรมนูญ ไว้ว่า.. นอกจากนี้ ได้กำหนดหลักการใหม่เกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการนับระยะเวลา กล่าวคือ การนับระยะเวลาแปดปีนั้น แม้บุคคลดังกล่าวจะมิได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันก็ตาม แต่หากรวมระยะเวลาทั้งหมดที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบุคคลดังกล่าวแล้วเกินแปดปี ก็ต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ว่าการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ในระหว่างรักษาการภายหลังจากพ้นจากตำแหน่ง จะไม่นำมานับรวมกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าว การกำหนดระยะเวลาแปดปีไว้ก็เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไปอันจะเป็นต้นเหตุเกิดวิกฤติทางการเมืองได้
ชัดเจนว่าไม่ใช่เฉพาะความเห็นของ “ซือแป๋”มีชัย หรือกรธ.คนใดคนหนึ่ง แต่เป็นมติร่วมกันของกรธ. แต่ก็ยังมีคนกล้ากลืนน้ำลาย โดยเฉพาะ “สุพจน์ (ถนนลูกรัง) ไข่มุกด์” ที่เคยมีความเห็นสอดคล้องกับหลักการนี้ แต่มาวันนี้ลืมอดีตไปหมดสิ้นแล้ว ยิ่งกว่าน้องชายศรีธนญชัย-ตีความกฎหมาย
ทีมเชลียร์ “ประยุทธ์” พากันยกแม่น้ำมาอ้างต่างๆ นานา ทั้งต้องนับวาระ หลังรัฐธรรมนูญปี 60 มีผลบังคับใช้ เพราะมีการเปลี่ยนกติกาใหม่ ทั้งที่ตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญระบุชัดเจนซะขนาดนั้น
ไม่ให้นับวาระตั้งแต่ปี 2557 เพราะตอนนั้น“ประยุทธ์”ได้รับเลือกจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ให้เป็นนายกฯ แต่ปี 2562 ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎร คนละสภากัน ในขณะที่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 กับรัฐบาลประยุทธ์ 2 มันไร้รอยต่อ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวบัญญัติไว้ชัดเจน ว่าเป็นรัฐบาลเดียวกันที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยไร้รอยต่อ
ถ้าได้ประโยชน์ทีมเชลียร์พวกนี้ ก็จะยกเอาความเห็นตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ หรือความเห็นของ“ซือแป๋” มาอ้างยังกับคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่พอจะเสียประโยชน์ ก็เล่นบทน้องศรีธนญชัยกันซะงั้น
อย่างที่บอก 100 เอาขี้หมากองเดียว สุดท้าย“บิ๊กตู่”คงผ่านไปได้แบบชิวๆ เพราะดวงชะตาเกิดแกดี
เป็น “ดวงชิงเทพมาเกิด” ถึงได้มี “พรมวิเศษ” มาคอยอุ้มตลอด
ปิ๊กกะจู้