ชื่อเรื่อง มหันตภัย “ระบอบประยุทธ์”
โลกจะถล่ม ฟ้าจะทลายยังไง ผู้มีอำนาจในเมืองไทยก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
กับภาพการเหยียบแผ่นดินไต้หวันของ “แนนซี เพโลซี” ประธานสภาผู้แทนราษฎร สหรัฐฯ แถมยังเข้ากระทบไหล่ ประธานาธิบดี “ไช่ อิงเหวิน” ของไต้หวัน ตอกย้ำความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศที่ยังคงแน่นแฟ้น
งานนี้เรียกว่า “กระตุกหนวดมังกร” เข้าจังเบอร์ เล่นเอา “หวัง อี้” มนตรีแห่งรัฐ และรมว.ต่างประเทศจีน เต้นเป็นเจ้าเข้า จวกประธานสภาฯสหรัฐ เล่นล้ำเส้นกับขีดความอดทนของรัฐบาลปักกิ่ง กับนโยบาย “จีนเดียว” ทำเอาวงประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา วงแทบแตก
ยิ่งผู้นำหญิงแห่งไต้หวัน ให้การต้อนรับนางเพโลซี พร้อมทั้งมอบเหรียญผู้ทำคุณประโยชน์ต่อไต้หวันให้แก่นางเพโลซี และกล่าวขอบคุณที่สนับสนุนและยืนหยัดเคียงข้างไต้หวันไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งเพิ่มความเดือดดาลแก่รัฐบาลกลางปักกิ่งเป็นทวีคูณ
สถานการณ์ระอุแค่ไหนก็ดูเอา เท้าของ“เพโลซี”เหยียบแผ่นดินไต้หวันกลางดึก รุ่งเช้ามากระดานหุ้นทั่วโลกแดงเถือก เพราะกังวลกับความอ่อนไหวในคาบสมุทรทะเลจีนใต้ ที่ใกล้จะแตกหัก
แต่ละฝ่ายยิ่งเพิ่มแรงกดดันด้วยการส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบิน เข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ในทะเลจีนใต้ แม้แต่รัสเซียเองยังแจ๋นเอากับเขาด้วย ทั้งการส่งเรือดำน้ำ 2 ลำ เข้ามาโหมไฟในทะเลจีนใต้ รวมถึงการทดลองยิ่งขีปนาวุธข้ามทวีปตัวใหม่ ยิ่งเร้าสถานการณ์เข้าไปใหญ่
สวมบท “ตัวปั่น” สงครามโลกครั้งที่ 3 กันเต็มที่
ดูเกมชิงอำนาจครองความเป็นเจ้าโลกกันแล้ว หันมาดูเกมชิงอำนาจในเมืองไทย ที่กติกาการเลือกตั้งก็ยังลูกผีลูกคน เพราะไม่รู้ว่า 3 ป.ผู้ยิ่งใหญ่ เขาจะเอายังไงกันแน่ จะสูตรหาร 500 หรือหาร 100 จะบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ หรือกลืนน้ำลายกลับไปใช้บัตรใบเดียวอีก ก็ไม่เอาให้ชัดซักทาง
เล่นกันสภาเละเป็นโจ๊ก องค์ประชุมรัฐสภาล่มอีกรอบ เดินหน้าไม่ได้ถอยหลังก็หกล้ม แต่ พี่ ๆ 3 ป. เขาไม่สน เพราะสนแค่ว่าทำอย่างไร ด้วยวิธีไหนก็ได้ แค่ยึดความได้เปรียบในการเลือกตั้งทุกประตู
ฟันธงไปได้เลย เลือกตั้งใหญ่รอบหน้า จะเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกบัดซบที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย “ยุคสฤษดิ์”ต้องชิดซ้าย “สมัยถนอม”ต้องชิดขวา ยุค 3 ป.เบิ้ลรอบ 3 จะงัดทั้งอำนาจรัฐ อำนาจทุน อำนาจนอกระบบ มาใช้กันแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เพราะรู้ดีว่ายังไง “เขา ก็ต้องใช้เราอยู่”
ตอกย้ำกับภาพสภาเผด็จการ ที่ยิ่งกว่าสั่งซ้ายหันขวาหัน ก็มติกมธ.งบประมาณ 2566 ไฟเขียวตามคำอุทธรณ์กองทัพอากาศ ให้คงงบ 369 ล้านบาท ตามใบสั่งของ “ลุงในป่า”
อีกประเด็นที่หลายคนมองข้ามไป ก็ที่ประชุมวุฒิสภา ที่บรรดา“ผู้เฒ่าเฝ้ามรดก”(คสช.) ตีตกชื่อ “อารยะ ปรีชาเมตตา” ศาสตราจารย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ที่ถูกเสนอชื่อจากคณะกรรมการสรรหาฯให้มาเป็นกรรมการป.ป.ช.
มีรายการแฉว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ ฯพณฯพวกลากตั้ง เปิดไฟแดง ก็มีจากการโชว์วิสัยทัศน์ระหว่างเข้ารับการสรรหา ต่อคณะกรรมการสรรหาป.ป.ช. ดันไปวิพากษ์วิจารณ์คดี น้องชายของผู้นำรัฐบาล “บิ๊กติ๊ก”พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ที่เป็นส.ว.ด้วย กรณีไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน บ้านที่เพิ่งสร้าง ต่อป.ป.ช.
มันเลยไม่มีอะไรระคายผิว แถมยังพ่วงไปวิจารณ์คดี “นาฬิกาเพื่อน(ให้ลืม)”อีก เลยโดนพวกพี่ๆลากตั้ง เททิ้งกลางทาง ทั้งที่ผ่านการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา ที่มีทั้งประธานศาลฎีกา ประธานรัฐสภา รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ
แต่มาถูกตีตกจากพวก 250 ลากตั้ง ที่ไม่ได้มีที่มาที่ไปจากกลไกของระบอบประชาธิปไตยตรงไหนเลย
ก็ไม่รู้ว่า “ระบอบประยุทธ์” จะยืนยงคงมั่นไปอีกนานซักแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อถึงคราวต้องพอ แต่ไม่รู้จักพอ ก็เห็นอยู่ว่าที่ผ่านมาแต่ละคน “ตายไม่สงบ ศพไม่สวย” ซักราย
ปิ๊กกะจู้