กองปราบบุกจับ "พระคม-พระหมอ" ยักยอกเงินวัดป่าธรรมคีรี 180 ล้านบาท-เสพเมถุนชายรักชายในกุฎิ
ที่ บก.ป. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ป. นายอินทพร จั่นเอี่ยม รอง ผอ.รักษาราชการแทน ผอ.สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พ.ศ.) ร่วมกันแถลงผลการจับกุม อดีตพระอาจารย์ชื่อดังยักยอกเงินวัดกว่า 180 ล้านบาท ประกอบด้วยผู้ต้องหา 3 คน นายคม คงแก้ว หรือ พระอาจารย์คม อภิวโร อายุ 39 ปี นาย วุฒิมา หรือพระหมอ เถาว์หมอ อายุ 38 ปี และ น.ส.จุฑาทิพย์ ภูบดีวโรชุพันธุ์อายุ 35 ปี
ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 64-66 /2566 ตามลำดับ ลงวันที่ 6 พ.ค.66 ข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต,เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต ,เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ รับของโจร จับกุม นายคม ได้ในพื้นที่ กทม. ส่วน นายวุฒิมา จับได้ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ขณะที่ น.ส.จุฑาทิพย์ จับกุมตัวได้ในพื้นที่ จ.นนทบุรี
พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า สืบเนื่องจากกองบังคับการปราบปรามได้รับการประสาน จาก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ พระอาจารย์คม ประธานฝ่ายสงฆ์ของวัดป่าธรรมคีรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา หลังสงสัยว่ามีการทุจริตเงินวัด จึงจัดกำลังพื้นที่สืบสวนตรวจสอบภายในวัด จนพบว่า พระอาจารย์คม เป็นพระผู้ดูแลการใช้จ่ายเงินต่างๆของวัดรวมถึงเงินที่ญาติโยมมีจิตศรัทธาร่วมทำบุญ ได้ร่วมกับ พระหมอ เจ้าอาวาสวัดนำเงินของวัดไปใช้จ่ายส่วนตัว รวมถึงยังนำเงินสดไปมอบให้น.ส.จุฑาทิพย์ น้องสาวนายคม เพื่อฝากเข้าบัญชีธนาคาร หรือเก็บซ่อนไว้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบทั้งสามร่วมกันยักยอกเงินของวัดไปแล้วกว่า 180 ล้าน และ คาดว่าน่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกอยู่ระหว่างการตรวจสอบ นอกจากนี้จากการตรวจค้นบ้านพักของ น.ส.จุฑาทิพย์ พบเงินสดจำนวน 51 ล้านบาท ถูกเก็บไว้ในลังโฟมและกระเป๋าเดินทาง รวมถึงยังพบเงินที่ถูกเก็บไว้ในบัญชีธนาคารอีกกว่า 130 ล้านบาท ย้ำว่าตัวเลขยอดเงิน 180 ล้านบาท เป็นแค่ยอดที่ตรวจสอบพบเบื้องต้น อาจจะมีมากกว่านี้ แต่คงต้องรอการตรวจอย่างละเอียดในสัปดาห์หน้าอีกครั้ง
พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ขณะนี้อยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ อยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบ ค้นหาพยานหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติม ส่วนจะมีการดำเนินคดีในผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ด้วยหรือไม่นั้น จากหลักฐานที่มีอยู่ยังไม่พบความผิดดังกล่าว ในส่วนของการสอบปากคำ ผู้ต้องหาทั้งสามให้การรับสารภาพว่า ได้นำเงินของวัดออกมาจริง รวมถึงในระหว่างที่ถือสมณเพศนั้น ได้มีการเสพเมถุนภายในกุฏิของวัดอันถือเป็นการอาบัติปาราชิก ตามข้อบัญญัติทางธรรมวินัยอีกส่วนหนึ่ง ผู้ต้องหาจึงสมัครใจที่จะลาสิกขา
นายอินทพร กล่าวว่า สำหรับจุดเริ่มต้นของกรณีดังกล่าว ทางสำนักพระพุทธศาสนาฯ ได้รับร้องเรียนทางลับให้ตรวจสอบพฤติกรรมของอดีตพระทั้ง 2 รูป โดยพฤติกรรมแรกเกี่ยวกับการประพฤติผิดพระธรรมวินัย เสพเมถุน ส่วนพฤติกรรมที่ 2 เป็นเรื่องของการบริหารเงินไม่โปร่งใส นำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือ นำเงินวัดไปใช้ส่วนตัว หลังรับเรื่องจึงมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนพบว่าทั้งคู่มีพฤติกรรมส่อไปในทางดังกล่าวจริง จึงแจ้งไปยังคณะปกครอง ก่อนท้ายที่สุดจะยอมรับมีพฤติกรรมนั้นจริง ส่วนเรื่องยักยอกเงินวัดนั้น เป็นเรื่องของคดีอาญา ได้ประสานกองปราบ ให้ช่วยตรวจสอบ นำมาสู่การจับกุมดังกล่าว